เอกสารการสอนวิชากฎหมายความผิดเด็ก ชุดที่ 2
อาจารย์เมธาพร กาญจนเตชะ
การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจต่อเด็กและเยาวชน
1.
การจับกุมเด็กและเยาวชน
โดยหลักการห้ามมิให้จับกุมเด็กซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด เว้นแต่เด็กนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีหมายจับหรือคำสั่งของศาล
1) ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ
หรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ
2) กฎหมายให้ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ในกรณีดังต่อไปนี้คือ
เมื่อบุคคลหนึ่งถูกไล่จับดังผู้กระทำโดยมีเสียงร้องเอะอะ หรือเมื่อพบบุคคลหนึ่งแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทำผิดในถิ่นแถวใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุและมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทำผิดหรือมีเครื่องมือ
อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสันนิษฐานได้ว่าได้ใช้ในการกระทำผิด
หรือมีร่องรอยพิรุธเห็นประจักษ์ที่เสื้อผ้าหรือเนื้อตัวของผู้นั้น และเป็นความผิดอาญาที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
สรุปได้ว่าการจับกุมเด็กนั้นกระทำได้ ดังนี้
1)
เด็กนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า
2)
มีหมายจับหรือคำสั่งของศาล
นอกเหนือจาก 2
กรณีนี้และจะจับเด็กซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดไม่ได้
หลักการของมาตรา 66 วรรคสอง
บัญญัติให้การจับกุมเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติถึงการจับกุมไว้ว่า[4]
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลไม่ได้ เว้นแต่
1)
เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า
2)
เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมีเครื่องมือ
อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด
3)
เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 66
(2)
แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้
4)
เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราวตามมาตรา
117
สำหรับการจับกุมเด็กซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด
กับการจับกุมเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นมีข้อแตกต่างกันที่ว่า
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีอำนาจจับกุมเยาวชนได้โดยไม่มีหมายหรือคำสั่งศาลในกรณีที่ต้องด้วยข้อยกเว้นของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 78 (2) (3) และ(4) ด้วย
แต่การจับเด็กไม่อาจนำข้อยกเว้นดังกล่าวไปใช้ได้เพราะมาตรา 66 วรรคหนึ่ง
มีความหมายชัดเจนว่า
ห้ามมิให้จับกุมเด็กซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด เว้นแต่เด็กนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีหมายจับหรือคำสั่งศาล[5]
มาตรา 69 วรรคหนึ่ง
ได้กำหนดวิธีการจับกุมเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดและการนำตัวเด็กหรือเยาวชนผู้ถูกจับส่งพนักงานสอบสวนโดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
1)
ให้เจ้าพนักงานผู้จับแจ้งแก่เด็กหรือเยาวชนนั้นว่าเขาต้องถูกจับ
และแจ้งข้อกล่าวหารวมทั้งสิทธิตามกฎหมายให้ทราบ หากมีหมายจับให้แสดงต่อผู้ถูกจับ
คำว่า “สิทธิตามกฎหมาย”
หมายความถึงสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 วรรคสอง คือ
ผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้และถ้อยคำของผู้ผู้ถูกจับนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
และผู้ถูกจับมีสิทธิที่พบและปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายหรือผู้ซึ่งจะเป็นที่ปรึกษากฎหมาย
ถ้าผู้ถูกจับประสงค์จะแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจทราบถึงการจับกุมที่สามารถดำเนินการได้โดยสะดวกและไม่เป็นการขัดขวางการจับหรือการควบคุมผู้ถูกจับหรือทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ก็ให้เจ้าพนักงานอนุญาตให้ผู้ถูกจับดำเนินการได้ตามสมควรแก่กรณี
ในการนี้ให้เจ้าพนักงานผู้จับนั้นบันทึกการจับดังกล่าวไว้ด้วย
2)
จะต้องนำตัวผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับทันที
เพื่อให้พนักงานสอบสวนของท้องที่ดังกล่าวส่งตัวผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบโดยเร็ว
ส่วนการส่งตัวเด็กหรือเยาวชนซึ่งถูกจับของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบไปยังสถานพินิจ
พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบจะดำเนินต่อไปตามมาตรา 70
มาตรา 69 วรรคสอง
บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้จับกุมแจ้งการจับกุมเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด
ดังนี้
1)
ถ้าขณะจับกุมมีบิดา มารดา
ผู้ปกครองบุคคลหรือผู้แทนองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย อยู่ด้วยในขณะนั้น
1.1)
ให้เจ้าพนักงานผู้จับแจ้งเหตุแห่งการจับให้บุคคลดังกล่าวทราบ
1.2)
ในกรณีความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน
5 ปี
เจ้าพนักงานผู้จับจะสั่งให้บุคคลดังกล่าวเป็นผู้นำตัวเด็กหรือเยาวชนนั้นไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนตามวรรคหนึ่งก็ได้
2)
ถ้าในขณะนั้นไม่มีบิดา มารดา
ผู้ปกครอง
บุคคลหรือผู้แทนองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย อยู่กับผู้ถูกจับ
2.1) ให้เจ้าพนักงานผู้จับแจ้งให้บุคคลดังกล่าวคนใดคนหนึ่งทราบถึงการจับกุมในโอกาสแรกเท่าที่สามารถกระทำได้
2.2)
หากผู้ถูกจับประสงค์จะติดต่อสื่อสารหรือปรึกษาหารือกับบุคคลเหล่านั้นซึ่งไม่เป็นอุปสรรคต่อการจับกุม และอยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการได้ให้เจ้าพนักงานผู้จับดำเนินการให้ตามสมควรแก่กรณีโดยไม่ชักช้า
นอกจากนี้มาตรา 69
ยังได้บัญญัติถึงหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้จับกุมแจ้งข้อหาแก่เด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดซึ่งถูกจับกุม
1)
ก่อนส่งตัวผู้ถูกจับให้พนักงานสอบสวนแห่งห้องที่ที่ถูกจับ
1.1)
เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้จับจะต้องทำบันทึกการจับกุมโดยแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุแห่งการจับให้ผู้ถูกจับทราบ
1.2)
ห้ามมิให้เจ้าพนักงานผู้จับกุมถามคำให้การผู้ถูกจับ
1.2.1) ถ้าขณะทำบันทึกดังกล่าวบิดา มารดา ผู้ปกครอง
หรือบุคคลหรือผู้แทนองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย อยู่ด้วยในขณะนั้น ต้องกระทำต่อหน้าบุคคลดังกล่าวและจะให้ลงลายมือชื่อเป็นพยานด้วยก็ได้
1.2.2)
ถ้อยคำของเด็กหรือเยาวชนในชั้นจับกุมมิให้ศาลรับฟังเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ความผิดของเด็กหรือเยาวชน แต่ศาลอาจนำนำมาฟังคุณแก่เด็กหรือเยาวชนได้
3. การปล่อยชั่วคราว
ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ
มาตรา 72
ได้กำหนดวิธีปฏิบัติที่พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติเมื่อได้รับตัวเด็กหรือเยาวชนซึ่งถูกจับ
สำหรับที่เกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราวได้กำหนดไว้ในมาตรา 72 วรรคสอง “
ในกรณีที่เด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดมีบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลหรือองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย
และบุคคลหรือองค์การดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ายังสามารถปกครองดูแลเด็กหรือเยาวชนนั้นได้ พนักงานสอบสวนอาจมอบตัวเด็กหรือเยาวชนให้แก่บุคคลดังกล่าวไปปกครองดูแลและสั่งให้นำตัวเด็กหรือเยาวชนไปยังศาลภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่เด็กหรือเยาวชนไปถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนภายหลังถูกจับ ในกรณีเช่นว่านี้
หากพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเด็กหรือเยาวชนจะไม่ไปศาล
พนักงานสอบสวนจะเรียกประกันจากบุคคลดังกล่าวตามควรแก่กรณีก็ได้”
จากบทบัญญัติดังกล่าวถือเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ที่พนักงานสอบสวนอาจมอบตัวเด็กหรือเยาวชนซึ่งถูกจับให้แก่บิดา
มารดา ผู้ปกครอง
บุคคลหรือองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยไปปกครองดูแลและสั่งให้นำตัวเด็กหรือเยาวชนไปยังศาลภายใน
24 ชั่งโมง นับแต่เวลาที่เด็กหรือเยาวชนไปถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนภายหลังถูกจับได้ในกรณีดังนี้
1)
กรณีที่เด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดมีบิดา มารดา
ผู้ปกครอง
หรือบุคคลหรือองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วย
2)
บิดา
มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลหรือองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยดังกล่าวจะต้องแสดงให้เห็นว่ายังสามารถปกครองดูแลเด็กหรือเยาวชนนั้นได้
3)
ในกรณีไม่ว่าตามข้อ 1) หรือ ข้อ 2)
ดังกล่าว
หากมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเด็กหรือเยาวชนจะไม่ไปศาล
พนักงานสอบสวนจะเรียกประกันจากบุคคลดังกล่าวตามสมควรแก่กรณีก็ได้
4. การผัดฟ้อง
โดยหลักเมื่อมีการจับกุมเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดหรือกรณีเด็กหรือเยาวชนปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนรีบดำเนินการสอบสวน และส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมทั้งความเห็นไปยังพนักงานอัยการเพื่อให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวให้ทันภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เด็กหรือเยาวชนนั้นถูกจับหรือปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวน แล้วแต่กรณี [7]
หากในกรณีที่ไม่สามารถยื่นฟ้องได้ทันภายในกำหนด
30 วัน พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการผัดฟ้อง
โดยมีหลักเกณฑ์คือ
1)
กรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกเกิน
6 เดือน แต่ไม่เกิน 5 ปี ไม่ว่าจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม
หากเกิดความจำเป็นไม่สามารถฟ้องเด็กหรือเยาวชนนั้นต่อศาลได้ทันภายในระยะเวลาดังกล่าว
(30 วัน) ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอผัดฟ้องต่อไปได้อีกครั้งละไม่เกิน
15 วัน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินสองครั้ง[8]
ดังนั้น
เมื่อรวมเวลาแล้วความผิดอาญาที่มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกเกิน
6 เดือน แต่ไม่เกิน 5 ปีไม่ว่าจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะมีเวลาดำเนินการในชั้นสอบสวนและชั้นพนักงานอัยการได้สูงสุด
60 วัน
2)
ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกเกินห้าปี ไม่ว่าจะมีโทษปรับหรือไม่ก็ตาม เมื่อศาลสั่งอนุญาตให้ผัดฟ้องครบสองครั้งแล้ว
หากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอผัดฟ้องต่อไปอีก
โดยอ้างเหตุจำเป็นศาลจะอนุญาตตามคำขอนั้นได้ต่อเมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการได้แสดงถึงเหตุจำเป็นและนำพยานมาเบิกประกอบจนเป็นที่พอใจแก่ศาล ในกรณีเช่นว่านี้
ศาลมีอำนาจสั่งอนุญาตให้ผัดฟ้องต่อไปได้อีกครั้งละไม่เกิน 15 วัน
แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินสองครั้ง[9]
ดังนั้น
เมื่อรวมเวลาแล้วความผิดอาญาที่มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกเกิน
5 ปี ไม่ว่าจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม
พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะมีเวลาดำเนินการในชั้นสอบสวนและชั้นอัยการได้สูงสุด
90 วัน
ในการพิจารณาคำร้องขอผัดฟ้อง
ถ้าเด็กหรือเยาวชนซึ่งเป็นผู้ต้องหายังไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย
ให้ศาลแต่งตั้งให้เพื่อแถลงข้อคัดค้านหรือซักถามพยาน
ข้อสังเกตุ
หากพิจารณาเกี่ยวกับระยะเวลาในการควบคุมตัวผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 87 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ควบคุมผู้ถูกจับไว้เกินกว่าจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี
ในกรณีความผิดลหุโทษจะควบคุมไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การและที่จะรู้ว่า
เป็นใคร และที่อยู่ของเขาอยู่ที่ไหนเท่านั้น
ในกรณีที่ผู้ถูกจับไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว และมีเหตุจำเป็นเพื่อทำการสอบสวน
หรือ การฟ้องคดีให้นำตัวผู้ถูกจับไปศาลภายในสี่สิบแปดชั่วโมง
นับแต่เวลาที่ผู้ถูกจับถูกนำตัวไปถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนตาม มาตรา 83 เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัย หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น อันมิอาจก้าวล่วงเสียได้
โดยให้พนักงานสอบสวน หรือ พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลขอหมายขังผู้ต้องหานั้นไว้
ให้ศาลสอบถามผู้ต้องหาว่าจะมีข้อคัดค้านประการใดหรือไม่และศาลอาจเรียกพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมาชี้แจงเหตุจำเป็น
หรือ อาจเรียกพยานหลักฐาน มาเพื่อประกอบพิจารณาก็ได้
ในกรณีความผิดอาญาที่ได้กระทำลง
มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินหกเดือน หรือ ปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับศาลมีอำนาจสั่งขังได้ครั้งเดียวมีกำหนดไม่เกินเจ็ดวัน
ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่าหกเดือนแต่ไม่ถึงสิบปี
หรือปรับเกินกว่าห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติดๆกันได้แต่
ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวันและรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินสี่สิบแปดวัน
ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปี
ขึ้นไปจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้ง ติดๆกันได้
แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินแปดสิบสี่วัน
ในกรณีตามวรรคหกเมื่อศาลสั่งขังครบสี่สิบแปดวันแล้ว
หากพนักงานอัยการ หรือ พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาล
เพื่อขอขังต่อไปอีกโดยอ้างเหตุจำเป็นศาลจะสั่งขังต่อไปได้
ก็ต่อเมื่อพนักงานอัยการหรือ พนักงานสอบสวน
ได้แสดงถึงเหตุจำเป็นและนำพยานหลักฐานมาให้ศาลไต่สวน จนเป็นที่พอใจแก่ศาล”
สรุประยะเวลาในการผัดฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นมีระยะเวลาสูงสุด
84 วันเท่านั้น จะเห็นได้ว่าการผัดฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นมีระยะเวลาแต่ละผัดน้อยกว่าการผัดฟ้องของเด็กและเยาวชน
คือในตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาผัดฟ้องไม่เกิน 12 วันต่อผัด และรวมทั้งสิ้นไม่เกิน
84 วัน ในขณะที่ระยะเวลาผัดฟ้องเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พุทธศักราช 2553 กรณีฟ้องไม่ทัน 30 วันและผัดฟ้องต่อครั้งไม่เกิน 15
วันได้อีก 4 ครั้ง รวมระยะเวลาผัดฟ้อง 90 วัน ดังนั้นระยะเวลาควบคุมตัวตามมาตรา
78 มีระยะเวลาที่ยาวกว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
5. การสอบสวน
1)
ให้กระทำในสถานที่ที่เหมาะสมโดยไม่เลือกปฏิบัติและไม่ปะปนกับผู้ต้องหาอื่นหรือบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ในสถานที่นั้นอันมีลักษณะเป็นการประจานเด็กหรือเยาวชน ทั้งนี้โดยคำนึงถึงอายุ เพศ
สภาวะของเด็กหรือเยาวชนเป็นสำคัญ
2)
ต้องใช้ภาษาและถ้อยคำที่ทำให้เด็กหรือเยาวชนสามารถเข้าใจได้ง่ายโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
3)
ถ้าเด็กหรือเยาวชนไม่สามารถสื่อสารหรือไม่เข้าใจภาษาไทย จะต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้
3.1)
ให้จัดหาล่ามให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
3.2)
จัดหาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือความช่วยเหลืออื่นใดให้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
สำหรับในการแจ้งข้อกล่าวและการสอบปากคำหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดนั้น พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการดังนี้[11]
1)
ต้องมีที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชนร่วมอยู่ด้วยทุกครั้ง
2)
ให้แจ้งด้วยว่าเด็กหรือเยาวชนมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้และถ้อยคำของเด็กหรือเยาวชนอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ ทั้งนี้เมื่อคำนึงถึงอายุ เพศ
และสภาพจิตของเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดแต่ละราย
ในการแจ้งข้อหาและการสอบปากคำเด็กหรือเยาวชนนั้นบิดา มารดา
ผู้ปกครอง
บุคคลหรือผู้แทนองค์การซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยจะเข้าร่วมรับฟังการสอบสวนดังกล่าวด้วยก็ได้[12]
ดังนั้นแม้ไม่มีบุคคลดังกล่าวอยู่ด้วยก็ไม่มีผลต่อการแจ้งข้อหาและการสอบปากคำเด็กหรือเยาวชนแต่อย่างใด
6. การจัดหาที่ปรึกษากฎหมาย
การจัดที่ปรึกษากฎหมายในชั้นสอบสวนจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กหรือเยาวชนมาอยู่ต่อหน้าศาลเพื่อให้ศาลตรวจสอบการจับกุม[13]
และถ้าเด็กหรือเยาวชนยังไม่มีที่ปรึกษากฎหมายให้ศาลตั้งให้
[1] พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2553 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง.
[5] สมชัย ฑีฆาอุตมากร,พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2553, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์พลสยามพริ้นติ้ง,2554),หน้า
143.
[7] พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2553 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง.
[11] พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2553 มาตรา 75 วรรคสอง.
[12] พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2553 มาตรา 75 วรรคสาม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น