เอกสารการสอนวิชากฎหมายความผิดเด็ก ชุดที่ 1
อาจารย์เมธาพร กาญจนเตชะ
บทนำ
ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน
พ.ศ.
2494 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ. ศ. 2494 พร้อมตั้งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเพื่อให้มีการแก้ไขฟื้นฟูเด็กที่กระทำความผิดเป็นครั้งแรกและต่อมาเพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีมาตรฐานการปฏิบัติอย่างสากลมากขึ้นประกอบกับประเทศไทยได้รับรองอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 ส่งผลให้มีการบัญญัติกฎหมายสำหรับที่ใช้กับเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ได้แก่ การตราพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ. ศ. 2534 แต่ได้มีการยกเลิกในเวลาต่อมา
โดยตราพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2553
1. วิวัฒนาการของการคุ้มครองสิทธิเด็กของไทย
ในทางประวัติศาสตร์สังคมไทยให้อำนาจของบิดาในการปกครองบุตรมีมากมายและสามารถกระทำการใดๆ ต่อบุตรก็ย่อมได้โดยไม่ถือว่าเป็นความผิด
เห็นได้จากบทบัญญัติของกฎหมายเก่าซึ่งกำหนดให้ภริยาและบุตรต้องรับผิดในทางแพ่งและอาญาในการทำละเมิดของคหบดี การที่ภริยาและบุตรต้องรับผิดเช่นนี้ มิใช่ในฐานะของสมาชิกในครอบครัว
แต่กฎหมายถือว่าบุคคลเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของคหบดีผู้กระทำผิด ดังนั้นแนวคิดเรื่องอำนาจบิดาเหนือบุตรจึงมีลักษณะคล้ายกับการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์
[1]
แสดงให้เห็นถึงอำนาจของบิดาที่มีเหนือบุตรในด้านต่างๆ โดยบุตรไม่มีสิทธิโต้แย้งใดๆ
อีกทั้งรัฐยังมิได้ให้ความคุ้มครองสิทธิแก่เด็ก จากการที่กฎหมายให้อำนาจบิดาเหนือบุตรอย่างมากเช่นนี้ จึงเป็นช่องว่างให้บิดาสามารถจะจำหน่าย ลงโทษอย่างใดก็ได้โดยไม่มีความผิด เห็นได้จากประกาศของรัชกาลที่ 4 ซึ่งมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า
“ วิสัยคนตระกูลต่ำมีแต่คิดจะหาเงินหาทองย่อมข่มขืนบุตรหลานของตัวเองไปขายเอาไปให้
ให้ไปต้องทนยากอยู่ในที่ที่ตัวจะได้เงินได้ทองมาก แต่บุตรไม่ควรที่จะต้องยากเพราะบิดามารดา จึงต้องตัดสินให้ตามใจบุตรสมัคร” เป็นกรณีที่บิดามารดาจะขายบุตรให้แก่ผู้อื่นบุตรต้องสมัครใจด้วย
ทางปฏิบัติจึงเกิดปัญหาขึ้นเมื่อบิดามารดาขายบุตรในราคาสูงและบุตรไม่สมัครใจ แต่ไม่มีกฎหมายรองรับ เมื่อเป็นเช่นนี้รัชกาลที่ 4 จึงได้ประกาศกฎหมายกำหนดเงื่อนไขในการขายบุตรของบิดาและมารดาว่าจะกระทำได้ต้องให้บุตรยอมและยินยอมให้ขายได้ราคาเท่าใดก็ขายได้เพียงเท่านั้น
จึงถือได้ว่าประกาศดังกล่าวนี้เป็นกฎหมายที่สร้างหลักประกันสิทธิให้แก่เด็กฉบับแรกของประเทศไทย
[2]
ต่อมาภายหลังการประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา
ร. ศ. 127 สิทธิและหน้าที่ของเด็กก็ยังคงอยู่ใต้อำนาจการปกครองดูแลของบิดามารดาอย่างปราศจากเงื่อนไขจนกระทั้ง
พ.ศ. 2477 ได้ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ
5 เงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองของบิดามารดา
ได้แก่
กรณีที่มีบิดามารดามีสิทธิทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน ดังนั้นจะลงโทษบุตรด้วยเหตุผลอื่นไม่ได้ การคุ้มครองเด็กถือว่าเริ่มในกฎหมายแพ่งในเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุตรและความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาและบุตร
การปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำผิดแต่เดิมนั้นเป็นไปเช่นเดียวกับกระบวนยุติธรรมที่ใช้กับผู้กระทำผิดที่เป็นผู้ใหญ่ เมื่อเด็กนั้นกระทำความผิดทางการจึงส่งเด็กเหล่านี้ไปยังโรงเรียนฝึกอาชีพ
ตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ. ศ. 2478 และสถานฝึกและอบรมตามพระราชบัญญัติจัดฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก
พ. ศ. 2479 โดยให้อำนาจศาลสั่งให้เด็กที่มีอายุในเกณฑ์บังคับไม่เกิน 15 ปีที่ไม่ได้เรียนอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษาโดยปราศจากเหตุอันควร ไปไว้ยังโรงเรียนฝึกอาชีพ
โดยกรมราชทัณฑ์ได้จัดตั้งโรงเรียนฝึกอาชีพขึ้นตาม
พระราชบัญญัติจัดการฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก พ.ศ. 2479
เพื่อทำการฝึกอบรมเด็กจำพวกที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479
และพระราชบัญญัติจัดฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก พ.ศ. 2479 ได้บัญญัติไว้ว่า “วิธีการปฏิบัติต่อนักโทษและต่อเด็กที่ต้องคำพิพากษา
ให้หนักไปทางฝึกอบรม...”
และกรมราชทัณฑ์ได้จัดตั้งโรงเรียนฝึกอาชีพสำหรับเด็กซึ่งกระทำความผิดที่มีอายุไม่ครบ 18 ปี
สำหรับผู้ต้องโทษที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี
ได้มีสถานที่ควบคุมเป็นพิเศษถือเป็นการแยกควบคุมผู้ต้องโทษเป็นครั้งแรก
และได้ปรับปรุงสถานที่ดังกล่าวขึ้นเป็นทัณฑสถานวัยหนุ่ม
ต่อมากรมราชทัณฑ์ได้โอนกิจการโรงเรียนฝึกอาชีพไปให้กรมประชาสงเคราะห์ดำเนินการ ณ
เยาวชนบ้านห้วยโป่ง จังหวัดระยอง
ตามพระราชบัญญัติจัดการฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2481
โดยให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าหน้าที่จัดการกับเด็กนักเรียนหรือเด็กอนาถาที่ประพฤติตนไม่สมควรแก่วัย
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้มีสารวัตรนักเรียนเพื่อทำการควบคุมดูแลความประพฤติของนักเรียนที่เร่รอน หรือมีความประพฤติไม่เหมาะสมนอกโรงเรียน
โดยจะว่ากล่าวตักเตือนและแจ้งเหตุให้โรงเรียนทราบ
พระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ใช้ได้เฉพาะในเขตพระนครเท่านั้น
จากบทบัญญัติของกฎหมายและแนวทางการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดข้างต้นเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ก่อนมีศาลเด็กและเยาวชน
การปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนยังคงใช้การดำเนินกระบวนการยุติธรรมระบบเดียวกับผู้ใหญ่ที่กระทำความผิด
เมื่อได้พิจารณาบทบัญญัติกฎหมายแต่ละฉบับที่ได้กล่าวมา
พบว่ายังมีข้อบกพร่องและอุปสรรคอยู่หลายอย่าง เพราะเป็นกฎหมายที่บัญญัติไว้สำหรับการปฏิบัติต่อเด็กหลังจากศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว
ส่วนวิธีการปฏิบัติต่อเด็กในระหว่างที่ถูกจับกุมและอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีที่ศาลไม่มีกฎหมายบัญญัติวิธีการไว้ เด็กและเยาวชนจึงได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกับผู้ใหญ่กระทำความผิด ซึ่งเป็นการไม่เหมาะสมและมีผลเสียหายแก่เด็กได้
ต่อมากลุ่มผู้นำทางศีลธรรม (Moral
Entrepreneurs) ที่มีความเชื่อว่า
บรรดาเด็กและเยาวชนจะต้องได้รับการปกป้อง
คุ้มครองให้ได้รับความปลอดภัย
อีกทั้งเห็นว่า
ควรจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนของไทยขึ้น
ตามกรอบแนวความคิดการจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนในประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ที่ว่า “รัฐในฐานะผู้ปกครองที่มีอำนาจที่จะเข้าแทรกแซงครอบครัวเมื่อครอบครัวมีปัญหา หรือทำหน้าที่ของตนบกพร่อง” และให้แยกเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดออกจากผู้ใหญ่ที่กระทำผิด [3] จากแนวคิดความเชื่อของกลุ่มผู้นำทางศีลธรรม ได้มีส่วนกระตุ้นและผลักดันให้รัฐบาลไทยสนใจที่จะจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน
และองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้องขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2482
ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น (พล.ร.ต. ถวัลย์
ธำรงค์นาวาสวัสดิ์) ได้ส่งหลวงปาณี ศรีศีลวิสุทธิ ไปดูงานเกี่ยวกับศาลในทวีปเอเชียและยุโรป รวมทั้งให้ดูเรื่องศาลคดีเด็กและเยาวชนจึงถือเป็นการเรียนรู้และรับเอากรอบแนวคิดหรือกระบวนทัศน์เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยเมื่อกลับมาแล้วผู้ที่ไปศึกษาดูงานได้ถ่ายทอดแนวคิดหรือที่ได้รับมาในครั้งนั้น
ในรูปของรายงานการศึกษาดูงานเสนอต่อกระทรวงยุติธรรม ต่อมาได้มีบันทึกของประธานศาลฎีกา
รายงานทำความเห็นเรื่องศาลคดีเด็กและเยาวชนในประเทศต่างๆ
ตลอดจนสถานการณ์ในประเทศไทยหากจะจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน หากจะจัดตั้งศาลคดีและเยาวชน เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
แต่เรื่องนี้ต้องระงับไว้เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
พ.ศ. 2493
ได้มีการรื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนขึ้นอีกครั้ง ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ได้จัดส่งคณะผู้พิพากษาไปดูงานศาลคดีเด็กและเยาวชนที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาอีกรุ่นหนึ่ง
จึงเป็นการเรียนรู้และรับเอากรอบแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน และการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดที่มีรากฐานมาจากปรัชญาแนวคิด ทฤษฎีของประเทศตะวันตกมาสู่ประเทศไทย
จากนั้นกระทรวงยุติธรรมได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการอบรมและสงเคราะห์
และได้มีการจัดตั้งศาลเด็กและเยาวชนขึ้น และได้มีการวางแนวการจัดตั้งศาลและเยาวชนเป็นศาลอาญาปนศาลแพ่ง โดยนำเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดในทางอาญา
และในทางแพ่งเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองเท่านั้น ต่อมาได้มีการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ. ศ. 2494 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ. ศ. 2494 ต่อมาคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติ ได้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย
(ราชกิจจานุเบกษา,ลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2494)
ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งกำหนดให้จัดตั้ง “ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง” ขึ้นในจังหวัดภายใน 180 วัน
นับแต่วันบังคับใช้พระราชบัญญัติ
และจัดให้มีหน่วยงานสำหรับตรวจพิเคราะห์
ฝึกอบรม และสงเคราะห์เด็ก เรียกว่า “
สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง”
โดยประสงค์จะให้สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง เป็นเครื่องมือของศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางในการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนทุกระยะ
การคุ้มครองสิทธิของเด็กตามประมวลกฎหมายอาญา
เป็นบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการที่นำมาใช้สำหรับเด็กซึ่งการปฏิบัตินั้นมีวิธีการที่แตกต่างกันโดยคำนึงถึงอายุเป็นหลัก
1) เด็กอายุไม่เกินสิบปี
กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ (มาตรา
73)[4] บทบัญญัติในมาตรานี้แสดงให้เห็นว่า
เด็กอายุไม่เกินสิบปีได้รับการสันนิษฐานว่าไม่มีความสามารถในการกระทำความผิดอาญา ซึ่งหมายถึง
เด็กนั้นไม่อาจมีความสามารถในการกระทำความผิดอาญาได้ จึงห้ามเด็ดขาดมิให้ลงโทษอาญาแก่เด็ก
แต่ยังถือว่าการกระทำของเด็กก็ยังเป็นความผิดอยู่เพียงแต่กฎหมายกำหนดให้ไม่ต้องรับโทษเท่านั้น
2) เด็กอายุกว่าสิบปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ศาลอาจดำเนินการวางข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ประกอบด้วยตามที่เห็นสมควร (มาตรา 74) [5]
โดยทั่วไปยังคงถือว่าไม่มีความสามารถในการกระทำความผิดอาญา
แต่ในความคิดสมัยใหม่มักจะมีการระบุอายุในการกระทำความผิดตามลักษณะความผิด ไม่สันนิษฐานให้เป็นคุณทั้งหมด ตามกฎหมายอาญาไทยจะลงโทษเด็กนั้นไม่ได้
แต่ศาลอาจใช้วิธีการสำหรับเด็กเพื่อแก้ไขปรับปรุงตัวเด็กได้
3) บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ต่ำกว่าสิบแปดปี
กระทำการอันกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด ให้ศาลพิจารณาถึงความรู้สึกผิดชอบและสิ่งอื่นทั้งปวงในอันที่จะควรวินิจฉัยว่าสมควรลงโทษหรือไม่ ถ้าไม่ควรก็จัดการตามมาตรา 74 ถ้าศาลเห็นว่าสมควรพิพากษาลงโทษ ก็ให้ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่ง
(มาตรา 75) [6]
ศาลจะต้องพิจารณาว่าจะควรลงโทษแก่เด็กหรือไม่
ทั้งนี้ศาลจะต้องคำนึงว่าเด็กนั้นย่อมมีความเจริญของมันสมองและร่างกายผิดกับผู้ใหญ่และมีลักษณะกระทำผิดได้ง่าย การกระทำผิดของเด็กจึงมีลักษณะเป็นโรคซึ่งควรจะได้รับการเยียวยารักษาให้หายและศาลต้องคำนึงถึงความยุติธรรมด้วย
4) บุคคลอายุตั้งแต่สิบแปดปีแต่ไม่เกินยี่สิบปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดมาตราส่วนโทษลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้ (มาตรา 76)[7] โดยทั่วไปแล้วจะถือว่า ผู้ที่มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีมีความรับผิดชอบเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว แต่อาจไม่จริงเสมอไป เนื่องจากมีกรณีไม่น้อยที่บุคคลอายุกว่าสิบเจ็ดปี แต่มีความรู้สึกผิดชอบยังไม่เต็มที่ เพราะมันสมองยังเจริญเติบโตช้า ถ้าศาลจะลงโทษก็อาจไม่เหมาะสม
มาตรานี้จึงเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจที่จะลดมาตราส่วนโทษลงหนึ่งในสามหรือไม่เกินกึ่งหนึ่งได้
การที่ประเทศไทยได้ลงนามรับรองในอนุสัญญาสิทธิเด็กตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ส่งผลให้ประเทศไทยต้องบัญญัติกฎหมายที่ให้ความเหมาะสมในการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนเป็นการเฉพาะเพื่อคุ้มครองสิทธิของเด็กและเยาวชนในด้านต่างๆ จนกระทั้งในปัจจุบันประเทศไทยก็ได้มีการบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่รวมทั้งพัฒนาแก้ไขบทบัญญัติกฎหมายที่มีอยู่เดิมนั้นให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก
ซึ่งได้แก่
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2534 กำหนดวิธีการพิเศษที่นำมาใช้แก่เด็กที่กระทำผิด
โดยเน้นให้ได้รับการสงเคราะห์ เยียวยาและแก้ไขแทนที่จะลงโทษจำคุก
อีกทั้งการให้การศึกษาอบรมและฝึกฝนอาชีพเพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตที่ดีงามต่อไป
2.
ปรัชญาในการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิด
แนวความคิดหรือปรัชญาในเชิงอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา
สามารถแบ่งแยกได้เป็น 2 แนวหลัก ๆ ได้แก่
ปรัชญาที่มุ่งต่อการลงโทษ เพื่อเป็นการแก้แค้นต่อผู้กระทำผิด
ป้องกันและปราบปรามมิให้มีการกระทำความผิด มักพบแนวความคิดเช่นนี้ในสังคมที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม
แนวความคิดนี้ จะกำหนดโทษและลงโทษผู้กระทำผิดเหมือนกัน โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางด้านอายุของผู้กระทำผิด
ดังที่เคยพบว่า ที่ประเทศอังกฤษ ศาลได้พิพากษาตัดสินและลงโทษเด็กอายุ 9 ขวบ ฐานลักทรัพย์ด้วยการแขวนคอ
ปรัชญาที่มุ่งเน้นต่อการแก้ไขฟื้นฟู
เพื่อช่วยเหลือให้ผู้ที่กระทำความผิดบางจำพวก ซึ่งได้พิจารณาแล้วเห็นว่ายังพอที่จะเยียวยาได้โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขความประพฤติได้
แทนที่จะลงโทษ มักพบแนวความคิดเช่นว่านี้ในสังคมที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพวกเสรีนิยม
ในนานาอารยประเทศรวมทั้งประเทศไทย
การปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดได้ดำเนินตามแนวปรัชญาที่มุ่งแก้ไขฟื้นฟู และช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดให้สามารถกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้
ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่า เด็กและเยาวชนยังสามารถที่จะเยียวยาแก้ไขเปลี่ยนแปลงความประพฤติได้
และการที่รัฐเข้ามาเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดแทนพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นวิธีการที่ยอมรับโดยทั่วไป
รัฐจึงต้องหามาตรการต่าง ๆ ที่จะมุ่งฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดให้สามารถกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้
มากกว่าที่จะใช้อำนาจลงโทษอย่างรุนแรง ดังจะเห็นได้จากที่ประเทศไทยได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน
พ.ศ. 2494 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.
2494 ซึ่งถูกยกเลิกและเปลี่ยนมาใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว
3. สาเหตุการกระทำความความผิดของเด็ก
สาเหตุแห่งการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนนั้นเป็นสาเหตุเฉพาะบุคคลบางคนอาจมีเพียงสาเหตุเดียว
ในขณะที่บางคนก็มีหลายสาเหตุประกอบกัน สาเหตุแห่งการกระทำความผิดมีอยู่หลายประการ และอาจแยกศึกษาเป็น
3 ด้านคือ
3.1 ด้านกฎหมาย
นักกฎหมายเน้นว่า สาเหตุแห่งการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนเกิดจากความเยาว์วัย
การรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือการถูกหลอกใช้จากผู้ใหญ่ จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำความผิดในทางอาญา
โดยถือว่าเป็นเพียงพฤติกรรมเบี่ยงเบน จึงไม่ลงโทษในทางอาญาแต่จะใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแทน
เพื่อแก้ไขความประพฤติ
3.2 ด้านสังคมวิทยา
นักสังคมวิทยาอธิบายถึงสาเหตุแห่งการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนว่ามาจากการที่เด็กและเยาวชนนั้นได้รับแบบอย่างความประพฤติที่ไม่ดี
จากบุคคลที่อยู่รอบข้าง เด็กและเยาวชนยังขาดความหนักแน่นทางจิตใจ จึงอาจถูกครอบงำ ชักจูงได้ง่าย
ทำให้พฤติกรรมเด็กและเยาวชนประพฤติผิดไปจากบรรทัดฐานของสังคมและกลายเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายในที่สุด
3.3 ด้านจิตวิทยา
นักจิตวิทยาอธิบายสาเหตุของการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนเอาไว้หลายทฤษฎี
กล่าวคือบางทฤษฎีเห็นว่า การกระทำความผิดนั้นอาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายหรือทางจิต
ซึ่งอาจมีมาตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลังความเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะผลักดันให้อารมณ์ของบุคคลแปรปรวน
ยิ่งเป็นเด็กหรือเยาวชน ก็อาจะทำให้เกิดการขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
และมีพฤติกรรมที่เป็นปฎิปักษ์ต่อสังคมและคนรอบข้างและกระทำความผิดได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่รุนแรง
อย่างไรก็ตาม เราสามารถแยกแยะสาเหตุแห่งการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนเป็น
2 สาเหตุใหญ่ ๆ ด้วยกัน
(1) สาเหตุจากสิ่งที่อยู่รอบข้างตัวเด็กและเยาวชน
เช่นครอบครัว สถานที่อยู่อาศัย บุคคลรอบข้าง สถานเริงรมย์ สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
หรือบังเกิดความวุ่นวายในสังคม
(2) สาเหตุที่เกิดจากตัวของเด็กและเยาวชนเอง เช่น ความผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจหรือเกิดจากพันธุกรรมของเด็กและเยาวชน
4. การกระทำความผิดของเด็ก
เด็กที่กระทำความผิดอาญาในทางวิชาการยังไม่ถือว่าเด็กเหล่านี้เป็นอาชญากร
ความผิดที่เด็กกระทำนั้นแตกต่างกับที่ผู้ใหญ่กระทำทั้งในแง่เจตนาและการกระทำ เพราะเด็กย่อมมีความยั้งคิดน้อยกว่าผู้ใหญ่และ
ควรแก้ไขเสียแต่ในวัยเด็ก [8] การกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนนั้น
ตรงกับคำว่า “Juvenile Delinquency” ซึ่งในทางวิชาอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา ไม่ถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นอาชญากรรม
แต่จะเรียกการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนว่า “การกระทำผิด”
และไม่เรียกเด็กและเยาวชนผู้กระทำความผิดว่าเป็นอาชญากร
[1] ร. แลงกาต์ , ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย เล่ม 1,พิมพ์ครั้งที่ 1,(กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,2526),น.95.
[2] สรรพสิทธิ์
คุมพ์ประพันธ์ ,
“แนวทางการป้องกันแก้ไขการละเมิดสิทธิเด็กในประเทศไทย”,ดุลพาห,ปี 45,เล่ม 1,(ม.ค. – มิ.ย. 2541),น.16.
[3] วิชา มหาคุณ. ศาลเยาวชนและครอบครัวตามแนวความคิดสากล.
พิมพ์ครั้งที่ 5, (กรุงเทพมหานคร : สถาบันพัฒนากระบวนการยุติธรรมเยาวชนและครอบครัว ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ,2541) หน้า 48-49.
[4] แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา
6 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่
21) พ.ศ. 2551
[5] แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 6
แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2551
[6] แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา
7 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่
21) พ.ศ. 2551
[7] แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา
7 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่
21) พ.ศ. 2551
[8] สง่า ลีนะสมิต,กฎหมายเกี่ยวการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน,
พิมพ์ครั้งที่ 6 แก้ไขเพิ่มเติม,(กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์,2523),หน้า 5.